วันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2561

พระสมเด็จอรหัง วัดมหาธาตุ

พระสมเด็จอรหัง วัดมหาธาตุ กรุงเทพมหานคร ที่ "พันธุ์แท้พระเครื่อง" จะกล่าวถึงในฉบับนี้ เป็นพระพิมพ์เก่าแก่ที่มีความเหมือนกับ "พระสมเด็จ" อันลือชื่อที่สร้างโดยท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็นเนื้อมวลสารหรือพิมพ์ทรง แม้กระทั่งอายุการสร้างก็คงจะไม่ด้อยไปกว่ากันมากนัก อาจเนื่องด้วยท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระสังฆราชเจ้า (สุก ไก่เถื่อน) ซึ่งมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักและเคารพเลื่อมใสของพุทธศาสนิก ชนทั่วประเทศ และยังมีกิตติศัพท์เป็นที่เลื่องลือในด้านพุทธาคมเป็นเลิศในสมัย และยังเป็นพระอาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาของท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ เป็นผู้จัดสร้างพระเครื่อง ในอดีตเรียกว่าเป็นที่นิยมสูงรองๆ จากพระสมเด็จทีเดียวครับผม


พระสมเด็จอรหัง ใช้ปูนเปลือกหอยเป็นมวลสารหลัก ในการสร้างเช่นเดียวกับพระสมเด็จวัดระฆังโฆสิตาราม ส่วนผสมอื่นๆ ก็คล้ายคลึงกัน เช่นเศษอาหารที่ฉัน วัสดุบูชาและผงอิทธิเจ จะผิดกันตรงสัดส่วนของมวลสารแต่ละชนิดที่นำมาผสมกันเท่านั้น ร่องรอยการสลายตัวและหดตัวก็จะเหมือนกัน ด้วยมวลสารและอายุขององค์พระใกล้เคียงกัน แต่เนื้อขององค์พระของ พระสมเด็จอรหังจะมี 2 สี คือ เนื้อขาวและเนื้อแดง สันนิษฐานว่าอาจจะมีการผสมปูนกินหมากหรือพิมเสนเข้าไป เมื่อผสมกับปูนเปลือกหอยทำให้เนื้อมวลสารกลายเป็นสีแดง

"พระสมเด็จอรหัง วัดมหาธาตุ" เป็นพระเนื้อผง รูปสี่เหลี่ยมชิ้นฟัก องค์พระประธานประทับนั่ง แสดงปางสมาธิ บนฐานสามชั้น และมีซุ้มครอบแก้วเช่นเดียวกับพระสมเด็จวัดระฆังโฆสิตาราม แต่จะมีพุทธลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะคือ แม่พิมพ์เป็นแม่พิมพ์ที่ใช้แผ่นหินอ่อนปิดทั้ง 4 ด้าน เมื่อกดพิมพ์เป็นที่เรียบร้อยก็จะเปิดแผ่นหินอ่อนและถอดองค์พระออกจากแม่ พิมพ์ ไม่ต้องมีการตอกตัด จึงปรากฏเส้นขอบนูนทะลักขึ้นมาทั้ง 4 ด้าน อันเป็นเอกลักษณ์สำคัญประการหนึ่ง เส้นซุ้มครอบแก้วเป็นเส้นเล็กและบาง พระเกศเป็นเส้นเล็ก คม และยาว พระพักตร์กลม พระกรรณทั้งสองข้างเป็นเส้นเล็กนูนและคม ข้างขวาขององค์พระจะชิดพระพักตร์มากกว่าข้างซ้าย ลำพระศอเป็นเส้นคม พระอุระเป็นรูปตัววี (V) มีเส้นอังสะ 2 เส้น คมและชัดเจนมาก พระพาหาเป็นรูปวงกลม ไม่มีหักศอก และพระเพลามีลักษณะคล้ายเรือสำปั้น

พระสมเด็จอรหัง แบ่งแยกพิมพ์ได้ทั้งหมด 8 พิมพ์ คือ พิมพ์ใหญ่ ฐานสามชั้น เนื้อขาว พิมพ์ฐานคู่ เนื้อขาว พิมพ์ใหญ่ ฐานสามชั้น เกศอุ เนื้อขาว พิมพ์เล็ก มีประภามณฑล เนื้อขาว พิมพ์เล็ก ไม่มีประภามณฑล เนื้อขาว พิมพ์ชิ้นฟัก เนื้อขาว พิมพ์ใหญ่ ฐานสามชั้น เนื้อแดง และพิมพ์ฐานคู่เนื้อแดง พระสมเด็จอรหัง ทุกพิมพ์จะมีพิมพ์ด้านหลังเหมือนกันคือ มีรอยเหล็กจารลึกลงไปในเนื้อว่า "อรหัง" และพื้นผิวจะปรากฏรอยเหี่ยวย่นและการยุบตัวของเนื้อพระคล้ายเส้นพรายน้ำ หรือกาบหมาก ลักษณะเหมือนนำกาบหมากมากดเพื่อให้เนื้อแน่นมองดูคล้าย "หลังกาบหมาก" เว้นแต่เพียงพิมพ์เดียวคือ พระสมเด็จอรหัง พิมพ์ชิ้นฟัก เนื้อขาว พิมพ์ด้านหลังจะเป็นพื้นเรียบธรรมดา

พระสมเด็จอรหัง วัดมหาธาตุ สมเด็จพระสังฆราชสุก กรุงเทพมหานคร เป็นพระพิมพ์เก่าแก่ที่น่าสนใจสะสมพิมพ์หนึ่ง ซึ่งสนนราคา ณ ปัจจุบัน ยังพอเช่าหาได้อยู่ แต่ของปลอมก็ค่อนข้างมาก ต้องพิจารณาให้ละเอียดครับผม ข่าวพระเครื่อง พันธุ์แท้พระเครื่อง ราม วัชรประดิษฐ์

พระสมเด็จอรหัง วัดมหาธาตุ
พระสมเด็จอรหัง วัดมหาธาตุ สมเด็จพระสังฆราชสุก (สุก ญาณสังวโร) แทน ท่าพระจันทร์ สวัสดีครับ ท่านผู้อ่านที่รักทุกท่าน เนื่องจากมีผู้อ่านอยากจะได้เขียนถึงพระเนื้อผงแบบพระสมเด็จฯ ที่พระเกจิอาจารย์ต่างๆ ท่านได้สร้างไว้นอกเหนือจากพระที่เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ได้สร้างไว้ ในวันนี้ผมก็จะเริ่มจาก พระสมเด็จอรหัง ซึ่งเชื่อกันว่าสมเด็จพระสังฆราช (สุก ญาณสังวโร) สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้ทรงสร้างไว้ สมเด็จพระสังฆราช สุก เดิมท่านอยู่ที่วัดพลับ (วัดราชสิทธาราม) ครั้งสุดท้ายท่านได้รับพระราชทานสถาปนาให้เป็นสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก ลำดับที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ แล้วย้ายมาประทับที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ และที่วัดนี้เองซึ่งท่านได้แจกพระสมเด็จอรหังและบรรจุกรุไว้ส่วนหนึ่ง สันนิษฐานว่าพระสมเด็จอรหังท่านได้สร้างไว้ตั้งแต่เมื่อยังดำรงตำแหน่งเป็น สมเด็จพระราชาคณะอยู่ที่วัดพลับ ประมาณปี พ.ศ.2360-2363

พระสมเด็จอรหัง เป็นพระสมเด็จเนื้อผง รูปทรงแบบสี่แหลี่ยมชิ้นฟัก มีด้วยกันหลายพิมพ์ เช่น พิมพ์สังฆาฏิ พิมพ์ฐานคู่ พิมพ์เกศอุ พิมพ์เล็กมีประภามณฑล และพิมพ์เล็กไม่มีประภามณฑล ที่ด้านหลังของพระมักมีการจารอักขระเป็นตัวหนังสือขอม คำว่า "อรหัง" และอีกส่วนหนึ่งที่ใช้ตราปั้มเป็นคำว่า "อรหัง" ก็มี มักเรียกหลังแบบนี้ว่า หลังตั้งโต๊ะกัง เนื่องจากลักษณะการปั้มด้านหลังคล้ายกับตราประทับเลยก็มีบ้างเป็นส่วนน้อย และพระสมเด็จอรหังนี้ เนื่องจากพระส่วนใหญ่ด้านหลังมีคำว่า "อรหัง" จึงนิยมเรียกกันจนติดปากว่า "สมเด็จ อรหัง"

พระสมเด็จอรหัง เนื้อส่วนใหญ่จะเป็นพระเนื้อผงปูนขาว เนื้อพระจะแตกต่างกันบ้าง เช่น เป็นแบบเนื้อขาวออกหยาบมีเม็ดทราย แบบขาวละเอียดมีเม็ดทราย แบบเนื้อขาวละเอียด และมีแบบเนื้ออกสีแดงเรื่อๆ เนื้อนี้มักเป็นแบบเนื้อหยาบมีทราย พระสมเด็จอรหัง ส่วนใหญ่แจกที่วัดมหาธาตุฯ และพบบรรจุกรุในองค์พระเจดีย์ที่วัดมหาธาตุ พระที่พบที่วัดมหาธาตุเป็นพระเนื้อสีขาวที่ด้านหลังมักเป็นแบบหลังจาร ต่อมามีผู้พบพระแบบเดียวกันที่วัดสร้อยทองอีก ซึ่งพบบรรจุไว้ในองค์พระเจดีย์ แต่พระที่พบมักเป็นพระแบบเนื้อสีแดง และที่ด้านหลังมักเป็นแบบหลังโต๊ะกังเป็นส่วนใหญ่ มีพบเป็นแบบเนื้อขาวบ้างแต่น้อยมาก และพระที่พบที่วัดสร้อยทองนั้นมักเป็นพระเนื้อหยาบกว่าที่พบที่วัดมหาธาตุฯ มีบางท่านให้ข้อคิดเห็นว่า พระที่พบที่วัดสร้อยทองนั้นอาจจะเป็นพระที่สร้างขึ้นมาภายหลังก็อาจเป็นได้

พระสมเด็จอรหัง วัดมหาธาตุ ของท่าน สมเด็จพระสังฆราชสุก จะมีทั้งที่บรรจุกรุและไม่ได้บรรจุกรุ พระที่ไม่ได้บรรจุกรุบางองค์พบมีการลงรักไว้แต่เดิมก็มี เป็นพระสมเด็จอีกตระกูลหนึ่งที่ได้รับความนิยมมาแต่ในอดีต ปัจจุบันสนนราคาก็สูงพอสมควรอยู่ที่หลักแสนถึงหลายๆ แสนครับ แต่ก็หาพระแท้ๆ ยากเช่นกัน ในวันนี้ผมก็ได้นำรูปพระสมเด็จ อรหัง พิมพ์สังฆาฏิ มาให้ชมกันทั้งด้านหน้าและด้านหลังครับ พระสมเด็จอรหังพิมพ์เล็ก สังฆราชไก่เถื่อน ข่าวพระเครื่อง

ด้วยความจริงใจ แทน ท่าพระจันทร์
ที่มา...หนังสือพิมพ์ข่าวสด

พระประวัติ "พระสังฆราชสุก ไก่เถื่อน" ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการสร้างพระเครื่อง

พระสมเด็จ อรหัง วัดมหาธาตุ กรุงเทพมหานคร
ก่อนกำเนิดพระเครื่อง พิมพ์สมเด็จวัดระฆังฯ นั้น พระสมเด็จอรหัง นับว่าเป็นยอดพระเครื่อง ต้นสกุลพระ ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า หรือ แบบชิ้นฟัก มาก่อนนานแล้วผู้ริเริ่มพระเครื่องที่เรียกเราเรียกกันจนติดปากมาจนทุกวันนี้ว่า พระสมเด็จฯ และเป็นผู้สร้างพระสมเด็จ อรหัง ด้วยนั้นก็คือ สมเด็จพระสังฆราช สุก ไก่เถื่อน

พระสมเด็จพระสังฆราช หรือเรียกกันสั้น ๆ ว่า พระสังฆราชไก่เถื่อน นี้นับเป็นพระอาจารย์ผู้ยิ่งยงในวิทยาคมด้านเมตตามหานิยมผู้เป็นพระอาจารย์ของสมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี และยังเป็นพระบรมราชาจารย์ของล้นเกล้าฯ ในรัชกาลที่ 2, ที่ 3 และที่ 4 อีกด้วย

พระสังฆราชญาณสังวร สุก ไก่เถื่อน ผู้ให้กำเนิดต้นสกุล พระพิมพ์สมเด็จ องค์นี้ ประสูติเมื่อวันศุกร์ เดือน 2 ขึ้น 10 ค่ำ ปีฉลู จุลศักราช 1095 หรือ พ.ศ. 2276 ซึ่งตรงกับสมัยอยุธยา ในรัชกาลของพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์ ท่านเป็นชาวกรุงเก่าชื่อ สุก และเข้าใจว่าก่อนถึงอายุ 34 ปี คือ พ.ศ. 2310 ซึ่งเป็นระยะที่กรุงศรีอยุธยาแตกครั้งสุดท้ายนั้น ท่านได้บวชมาก่อนแล้วหลายพรรษา จนปรากฏชัดจากพงศาวดารว่า ท่านได้เป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่ วัดท่าหอย เมื่อสมัยกรุงธนบุรี นี่เอง

พระอาจารย์สุก หรือ พระญาณสังวรเถระ หรือ สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 4 ของราชวงศ์จักรีนี้ นับว่าเป็นผู้หนึ่งที่ยืนดูการกระทำอันโหดร้ายของพม่าเมื่อคราวกรุงแตกมาแล้ว เหตุผลที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก โปรดให้อาราธนาลงมาอยู่ที่วัดราชสิทธารามนั้น ก็เห็นจะเป็นด้วย พระองค์ประสูติ เมื่อ พ.ศ. 2279 ในรัชกาลพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์เช่นกัน

นับแต่พระองค์ได้รับราชการเมื่อปลายสมัยอยุธยาจนกรุงแตกแล้วนั้น ก็ได้ทราบถึงเกียรติคุณของ พระอาจารย์สุก มาบ้างแล้ว จึงได้อาราธนาท่านลงมาอยู่ที่วัดพลับเมื่อประมาณ พ.ศ. 2325 สมเด็จพระสังฆราช ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 4 ของกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อ พ.ศ. 2363 ตรงกับวันพฤหัสบดี เดือนอ้าย ขึ้น 2 ค่ำปีมะโรง และได้ย้ายจากวัดพลับมาอยู่ที่วัดมหาธาตุได้เพียงปีเศษก็สิ้นพระชนม์ ณ วัดมหาธาตุ พระนคร เมื่อวันศุกร์เดือน 10 แรม 4 ค่ำ ปีมะเมีย ในรัชกาลของพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จึงนับว่าเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์เดียว ที่ได้เห็นเหตุการณ์พม่าเผากรุงศรีอยุธยาและผนวชอยู่ในพระบวรพุทธศาสนาตั้งแต่สมัยอยุธยา, สมัยกรุงธนบุรี, จนถึงสมัยรัตนโกสินทร์, รวมพระชนมายุได้ถึง 90 ปี

พระญาณสังวร สุก ไก่เถื่อน ระหว่างอยู่ที่วัดราชสิทธารามนั้น ปรากฏว่าได้เป็นที่นับถือของชาวบ้านตลอดขึ้นไปจนถึงเจ้านายเชื้อพระวงศ์ ต่างก็พากันไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์ท่านเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ก็เห็นจะเป็นเพราะบรรดาสานุศิษย์เหล่านั้นต่างก็ได้เห็นกฤตยาคมอันขลังด้านเมตตาพรหมวิหารของท่าน ซึ่งสามารถเรียก ไก่เถื่อน จากป่าเป็นฝูง ๆ มากรับการโปรยทานจากท่านเต็มลานวัดทุก ๆ วันนั้นเอง เหตุนี้ชาวบ้านสมัยนั้นจึงพากันเรียกท่านว่า พระสังฆราชไก่เถื่อน เพราะท่านสามารถเรียกไก่เถื่อนออกมาจากป่าด้วยแรงอาคม และยิ่งได้ลิ้มรสอาหารเสกจากท่านด้วยแล้ว ไก่เถื่อนที่ว่าถึงกับไม่ยอมกลับเข้าป่า และเชื่องเป็นไก่บ้านไปเลย

การกำเนิดพระสมเด็จ อรหัง
นับตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้ทรงโปรดให้พระอาจารย์สุกหรือพระญาณสังวรเถระ มาอยู่ที่วัดราชสิทธารามหรือวัดพลับ ที่ อ. บางกอกใหญ่ นครหลวงฝั่งธนบุรี แล้ว ต่อมาวัดนี้ก็เจริญรุ่งเรืองขึ้นเป็นลำดับ การทรงผนวชของพระราชวงศ์แต่ละพระองค์นั้น
ภายหลังมักจะเสด็จไปศึกษาวิปัสสนา ที่สำนักพระญาณสังวร ณ วัดราชสิทธารามอยู่เสมอ เช่นพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย, พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว, และพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว นั้น พระญาณสังวร สุก ไก่เถื่อน ก็ได้เป็นพระบรมราชาจารย์ของพระมหากษัตริย์ทั้ง 3 พระองค์นี้ด้วย

จากการที่สมเด็จฯ ท่านยิ่งใหญ่ด้านอาคมขลังจนเป็นที่เลื่องลือกันไปทั่วนั้นจะเป็นด้วยทนการวิงวอนจากบรรดาสานุศิษย์หรือผู้คนที่นับถือท่านมากราย อยากจะได้พระเครื่องของท่านไว้คุ้มครองบ้างก็ได้ ด้วยเหตุนี้เอง, พระเครื่องพิมพ์สี่เหลี่ยมผืนผ้าแบบชิ้นฟัก ซึ่งสร้างด้วยผงวิเศษสีขาวนั้น สมเด็จพระสังฆราชองค์นี้ จึงได้ให้กำเนิดพระสมเด็จดังกล่าวนี้ขึ้นมาเป็นครั้งแรก เมื่อประมาณ พ.ศ. 2360

เล่ากันว่า พระสมเด็จอรหัง ที่สมเด็จพระสังฆราชไก่เถื่อนได้เริ่มสร้างเป็นครั้งแรกนั้น ท่านยังดำรงตำแหน่งเป็นพระราชาคณะอยู่ที่วัดพลับ พระเครื่องพิมพ์สมเด็จฯส่วนหนึ่งเมื่อได้รับการปลุกเสกแล้ว ท่านก็แจกจ่ายให้ไปบูชากันโดยถ้วนทั่วและเป็นที่เข้าใจกันว่า พระสมเด็จอรหัง พิมพ์ปฐมฤกษ์นั้นก็คือ พิมพ์ เกศเปลวเพลิง ซึ่งด้านหลังจะไม่ปรากฏมีอักขระคำว่า อรหัง จารึกลงไว้เลย

สมเด็จพระสังฆราชไก่เถื่อน ท่านได้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์โดยการสร้างพระพิมพ์สมเด็จอรหังต่อมาอีก มีหลายพิมพ์ที่เสร็จแล้วท่านก็แจกสานุศิษย์ต่อไปโดยมิได้ลงกรุ แต่พระอีกจำนวนหนึ่งนั้น เมื่อท่านได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช และได้ย้ายมาอยู่ที่วัดมหาธาตุแล้ว ก็เข้าใจว่าพระสมเด็จอรหังส่วนหลังนั้น ท่านคงได้นำมาบรรจุไว้ในเจดีย์ที่วัดมหาธาตุแห่งนี้ไว้เป็นจำนวนมากทีเดียว

พุทธลักษณะ, เนื้อ,และพิมพ์
พระสมเด็จอรหัง ของสมเด็จพระสังฆราชไก่เถื่อนนี้ เท่านี้ปรากฏอยู่ในวงการพระเมื่อ 10 กว่าปีมาแล้ว จะแยกแบบออกได้ถึง 5 พิมพ์ ด้วยกันดังนี้
1.สมเด็จอรหัง พิมพ์สังฆาฏิ เป็นพระเนื้อผงสีขาวที่นิยมกันมากมีขนาดกว้าง 2 ซ.ม. สูง 3 ซ.ม. ครึ่ง พุทธลักษณะเป็นพระปางสมาธิประทับนั่งบนฐาน 3 ชั้น เห็นชายสังฆาฏิห้อยชัดเจนทุกองค์ ด้านขอบข้างองค์พระจะถูกอัดออกมาตามแบบแม่พิมพ์โดยไม่มีการตัดด้วยเส้นตอกเลย และโปรดสังเกตการประทับนั่ง เข่าจะแคบและตรง ส่วนด้านหลังจะปรากฏอักขระคำว่า อรหัง จารึกไว้ด้วย พระสมเด็จพิมพ์นี้แยกออกเป็น 2 แบบ คือ
1.1 แบบเศียรโต และ
1.2 แบบเศียรเล็ก
2. พระสมเด็จอรหัง พิมพ์ฐานคู่ เป็นพระเนื้อผงสีขาว เข่ากว้างและโค้งกว่าพระพิมพ์สังฆาฏิ โดยเฉพาะฐานสร้างเป็นเส้นเล็กคู่ นอกจากนั้นทั้งขนาด, ขอบด้านข้าง, และหลัง คงเหมือนกับ พิมพ์สังฆาฏิ ทุกอย่าง
3. พระสมเด็จอรหัง พิมพ์เกศเปลวเพลิง นี่เป็นอีกพิมพ์หนึ่งซึ่งนอกจากจะมีน้อยแล้ว แม้จะหาชมก็ยากนัก พระพิมพ์นี้ทั้งความงามและขนาดจะเหมือนกับ พิมพ์สังฆาฏิ มีเพี้ยนอยู่บ้างก็ตรงที่มีเกศขมวดม้วนเป็นตัว อุ และรูปทรงค่อนข้างชะลูด ส่วนฐานประทับถึงแม้จะเป็นแบบ 3 ชั้น แต่ก็หนาวกว่ากันมาก พระพิมพ์นี้เป็นพระเนื้อผงสีขาว ด้านหลังเป็นแบบราบโดยไม่มีอักขระขอมปรากฏให้เห็นเลย ส่วนขนาดจะเท่ากับพิมพ์แรก ๆ
4. พระสมเด็จอรหัง พิมพ์โต๊ะกัง ขนาดพระพิมพ์นี้จะเท่ากับ 3 พิมพ์แรกสัญลักษณ์ที่ควรจดจำกับพระสมเด็จพิมพ์โต๊ะกัง นี้ได้ง่าย ๆ ก็คือ เป็นพระผงผสมว่านเนื้อออกสีแดงคล้าย ปูนแห้ง แม้ค่อนข้างหย่อนงามไปบ้าง แต่ก็เป็นอีกพิมพ์หนึ่งที่หาชมได้ยาก ด้านหลังของพระพิมพ์นี้จะถูกปั๊มลึก ปรากฏเป็นอักขระคำว่า อรหัง นูนขึ้นมา ผิดกับ 3 พิมพ์แรกซึ่งถูกจารึกบุ๋มลงไปด้วยการจารึกเส้นเล็ก ๆ ด้วยมือตอนเนื้อพระยังไม่แห้ง
5. พระสมเด็จอรหัง พิมพ์เล็ก พระพิมพ์นี้จะมีขนาดสูงเพียง 2.3 ซ.ม. เท่านั้น เป็นพระเนื้อผงสีขาว ซึ่งมีพุทธลักษณะเหมือนเช่นกับทุก ๆ พิมพ์ที่กล่าวไปแล้ว หากแต่ได้เพิ่มประภามณฑลล้อมรอบเศียรขึ้นมาอีกแบบเท่านั้นเอง นับว่าเป็นพระอีกพิมพ์หนึ่งที่หาชมได้ยากพอ ๆ กับพิมพ์เกศเปลวเพลิงทีเดียวสำหรับด้านหลังจะลงจารึกคำว่า อะระหัง ไว้ด้วยเช่นกัน

พระสมเด็จอรหัง มีสองกรุ
พระสมเด็จอรหังทั้ง 5 พิมพ์ ดังได้กล่าวไปแล้วนั้น บางพิมพ์ตรงกัน แต่เนื้อกลับไม่เหมือนกัน หรือบางพิมพ์จารึกที่ลงไว้ด้านหลังกลับเป็นอักขระเล็กบ้าง, ใหญ่บ้าง, โดยไม่เท่ากันนั้น ก็เพราะพระสมเด็จอรหังนี้ มีแยกออกเป็น 2 กรุดังจะกล่าวไว้พอเป็นสังเขปดังนี้
1. พระสมเด็จอรหัง กรุวัดมหาธาตุ กล่าวกันว่ามีผู้พบพระเพียง 3 พิมพ์เท่านั้น คือ
1. พิมพ์สังฆาฏิ
2. พิมพ์ฐานคู่
3. พิมพ์เล็ก
โดยจะเป็นพระเนื้อผงสีขาวทั้งหมดส่วนพิมพ์เกศเปลวเพลิงนั้น ต่างก็พูดกันว่า เป็นพระเครื่องพิมพ์แรกที่สมเด็จท่านอาจทำเป็นการทดลอง และได้แจกจ่ายไปก่อนแล้ว ตั้งแต่เมื่อครั้งอยู่ที่วัดพลับก็ว่าได้ พระสมเด็จกรุวัดมหาธาตุนี้ โดยทางเนื้อจะละเอียดขาวและมีความแน่นตัวมาก พระทุก ๆ องค์หากมิได้ใช้ หรือเมื่ออกจากกรุใหม่ ๆ จะมีฝ้าคราบขาวนวลหุ้มติดอยู่ทุกองค์บางองค์ก็ปิดทองล่องชาด และบางองค์ถึงกับเนื้องอกแบบพระวัดพลับก็มี ส่วนด้านหลังอักขระที่จารึกไว้นั้น ตัวอักษรจะเท่ากัน และค่อนข้างใหญ่กว่าของกรุวัดสร้อยทองอีกเล็กน้อย

2. พระสมเด็จอรหัง กรุวัดสร้อยทอง พระสมเด็จกรุนี้ได้มีผู้พบภายหลังจากกรุวัดมหาธาตุ ได้เผยโฉมออกมาแล้ว พระที่พบคือสมเด็จอรหังพิมพ์สังฆาฏิ, พิมพ์โต๊ะกัง, และพิมพ์ฐานคู่ ซึ่งเป็นพิมพ์ใหญ่ทั้งหมด พิมพ์แรกจะเห็นชายสังฆาฏิชัดเจน เช่นเดียวกับกรุวัดมหาธาตุแต่เนื้อจะหยาบกว่า แก่ผงเกสรดอกไม้และมีทรายปนอยู่ด้วย ส่วน พิมพ์โต๊ะกัง เป็นพระเนื้อสีแดง มีคราบกรุจับนวลขาวทั่วไป ตราปั๊มด้านหลังจะปรากฏแบบลึกนูนขึ้นมาชัดเจนอ่านง่าย ส่วนพิมพ์เล็กไม่ปรากฏพบอยู่ในกรุนี้เลย

เรื่องสมเด็จอรหังกรุวัดสร้อยทองนี้ บางท่านก็ว่าสมเด็จพระสังฆราชสุก ท่านได้สร้างให้กับวัดนี้ไว้ แต่พระภิกษุผู้ชราชื่อ แพร ซึ่งอยู่ที่วัดสร้อยทอง ได้เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า... พระสมเด็จกรุนี้ ความจริงแล้ว ผู้สร้างคือพระอาจารย์ กุย ซึ่งเป็นศิษย์ของสมเด็จพระสังฆราชไก่เถื่อนอีกองค์หนึ่ง ท่านได้สร้างไว้โดยใช้แม่พิมพ์เดิม แต่เนื้อและการลงจารึกด้านหลังจะเล็กผิดกว่ากันมาก

ส่วนเรื่องพระสมเด็จอรหัง พิมพ์โต๊ะกัง นั้นเข้าใจว่าได้มีชาวจีนสร้างเป็นกุศลร่วมลงกรุไว้ที่วัดสร้อยทอง พระพิมพ์นี้จึงมีสีแดง สีแห่งความรุ่งโรจน์ ซึ่งชาวจีนนิยมกันมาก และที่เรียกว่า พิมพ์โต๊ะกัง ก็เห็นจะเป็นเพราะตราด้านหลังคำว่า อรหัง ซึ่งโดยปกติแล้ว จะใช้เหล็กแหลมเขียน แต่พระสมเด็จอรหังสีแดงพิมพ์นี้กลับใช้ตราปั๊มลึกนูน โดยตัวอักขระหนังสือจะนูนขึ้นมาเหมือนกับตราปั๊มของร้านทอง ตั้งโต๊ะกัง ที่ปั๊มติดกับสร้อย เลยเป็นเหตุให้นักเลงพระยุคนั้นเห็นดีเห็นชอบเรียกชื่อพระพิมพ์นี้ว่า พระสมเด็จอรหัง พิมพ์โต๊ะกัง ตั้งแต่นั้นมา

เดี๋ยวนี้ ไม่ว่าคุณจะมีพระสมเด็จอรหังพิมพ์โต๊ะกังหรือไม่โต๊ะกังก็ตามที ขอให้มีพระองค์พอสวยก็แล้วกัน ถ้าไม่พูดถึงพระพุทธคุณท่านเด็ดในทางมหานิยมอยู่แล้ว ผมขอรับรองว่าคุณ ๆ ที่มีพระพิมพ์นี้ไว้จะยืน ยิ้มแบบโต๊ะกัง ได้อย่างสบายมาก เพราะขณะนี้เขาเสนอราคาเช่ากันองค์ละใกล้แสนหรืออาจจะเลยแสนไปแล้วก็ว่าได้

พุทธคุณของพระสมเด็จอรหัง
สำหรับเรื่องพุทธคุณการใช้จากผู้ได้ประสบการณ์กับพระสมเด็จพิมพ์นี้มาแล้วนั้นถึงแม้ว่าจะไม่ดังกระฉ่อนเช่นพระสมเด็จวัดระฆังฯ หรือสมเด็จบางขุนพรหมก็ตาม ได้มีนักเผชิญโชคผู้ได้มีประสบการณ์อันมหัศจรรย์จากพระสมเด็จอรหังมาแล้ว ถึงกับตื่นตะลึงและหวงแหนกันยิ่งนัก เพราะพระสมเด็จพิมพ์นี้ดี ทางเมตตามหานิยม และแคล้วคลาดเหมือนเช่นพระสมเด็จวัดระฆังฯทุกอย่าง ยกเว้นพระสมเด็จอรหังสีแดงเท่านั้น ซึ่งนอกจากจะมีมหานิยมแล้วยังเพิ่มด้านกระพันชาตรีไว้อีกทางหนึ่งด้วย

เพื่อให้เรื่องพระสมเด็จอรหัง ยอดพระ ต้นสกุลพระสมเด็จ ของ สมเด็จพระสังฆราชไก่เถื่อน ได้จบลงอย่างสมบูรณ์ ต่อไปนี้ผมจึงขอเสนอเรื่องราวตอนหนึ่งที่คุณ เฉลิม แก้วสีรุ้ง ซึ่งเป็นชาวนนทบุรี ได้เผชิญกับอิทธิปาฏิหาริย์จากพระสมเด็จอรหังจนถึงกับตะลึงงันอยู่กับที่มาแล้ว เป็นเรื่องทิ้งท้ายไว้ดังต่อไปนี้...

เรื่องก็มีอยู่ว่า เมื่อ พ.ศ. 2508 คุณเฉลิมมีอาชีพรับซื้อขายผลไม้เป็นประจำอยู่ที่เมืองนนท์ วันหนึ่งมีชาวสวนข้างบ้านมาบอกจะขายทุเรียนส่วนหนึ่งให้ และขอร้องให้ไปดูด่วนด้วย คุณเฉลิมรักทุเรียนมากจนลืมลั่นกุญแจบ้าน และลืมจนกระทั่ง พระสมเด็จอรหัง พร้อมด้วยสร้อยคอทองคำหนัก 3 บาท กับกระเป๋าเงินซึ่งมีเงินอยู่ในนั้นถึงแปดพันบาทด้วย คุณเฉลิมมานึกขึ้นได้ก็เหตุการณ์ได้ผ่านไปแล้วถึง 3 ชั่วโมง เขาจึงรีบกลับบ้านทันทีแต่ก็ต้องถึงกับตะลึงงันอยู่กับที่เมื่อมาถึงบ้าน เพราะขณะนั้นประตูบ้านได้เปิดอ้า ข้าวของในบ้านถูกรื้อกระจัดกระจายเกลื่อน เสื้อผ้าส่วนหนึ่งและเข็มขัดนาคของภรรยาเขาได้ถูกคนร้ายลักไป
แต่...คุณพระช่วย ครับ, คุณพระได้ช่วยคุณเฉลิมไว้อย่างปาฏิหาริย์จริง ๆ ด้วย ที่ว่าปาฏิหาริย์ก็เพราะ ทั้งสร้อยคอรวมทั้งพระและเงินอีกแปดพันบาท ที่กองอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งอย่างชนิดที่ใครโผล่เข้าไปในบ้านก็ต้องมองเห็นได้อย่างถนัดตาทีเดียวนั้น ของดังกล่าวยังคงอยู่ ณ ที่นั้นโดยไม่มีใครมาขยับไปไหนเลย

เรื่องนี้คุณเฉลิมบอกกับผู้เขียนว่า นั่นคือผลแห่งการแคล้วคลาด อันเกิดจากอิทธิปฏิหาริย์ของพระสมเด็จอรหังได้พรางตาคนร้ายไว้แน่ ๆ หรือถ้าใครว่าไม่แน่ละก้อคนร้ายกลุ่มนั้นก็คงจะตาบอดเท่านั้นเอง คุณเฉลิมบอกว่า ขณะนี้ผมได้ย้ายบ้านและเป็นเจ้าของสวนลำไยอยู่ที่เชียงใหม่แล้ว สาเหตุที่ได้เปลี่ยนอาชีพ จนพอจะมีกินกับเขาบ้างแล้วนี้ ก็เรื่อง พระสมเด็จอรหัง ท่านช่วยผมอีกเหมือนกัน ผมได้อาราธนาบูชาขอโชคลาภท่าน เพื่อขอทุนไปซื้อลำไย ด้วยการไปซื้อลอตเตอรี่ที่จังหวัด 2 ใบ คุณเฉลิมยืนยันว่า ไม่ชอบและไม่เคยซื้อกับเขาเลย นอกจากครั้งนี้เท่านั้น พอถึงเวลาหวยออก ทั้งเขาและภรรยาดีใจจนแทบเป็นลมเป็นแล้งเอาทีเดียว ทั้งนี้ก็เพราะสลากลอตเตอรี่ทั้ง 2 ใบนั้น ใบแรกถูกรางวัลที่ 3 และอีกใบหนึ่งก็ถูกเลขท้าย 3 ตัวด้วย

นี่คือเรื่องราวที่คุณเฉลม แก้วสีรุ้ง ได้เล่าให้กับผู้เขียนฟังเมื่อ พ.ศ. 2512 ซึ่งขณะนั้นเขาและครอบครัวได้ครองเรือนกันอย่างผาสุกด้วยฐานะที่มั่นคงพอสมควรแล้ว และสิ่งเดียวที่ไม่มีใครมาพรากจากคอเขาได้เลยคือ พระสมเด็จอรหัง เนื้อผงสีขาวองค์เดียวที่เขารักหวงแหนราวกับชีวิตติดตัวเขาอยู่ตลอดเวลาทีเดียว

เดี๋ยวนี้เราก็รู้แล้วว่า พระสมเด็จอรหัง นอกจากผู้สร้างจะเป็นสมเด็จพระสังฆราชเป็นพระบรมราชาจารย์ของในหลวงทั้ง 3 พระองค์แล้ว ยังเป็นพระอาจารย์ของสมเด็จพระพุฒาจารย์ อีกด้วย และสำหรับด้านพระเครื่องฯ พระสมเด็จอรหัง ก็คือพระต้นสกุลพระสมเด็จทั้งหมด อันเปรียบได้ดั่ง จักรพรรดิพระสมเด็จ ซึ่งเปี่ยมด้วยพุทธาคมมนต์ขลังด้านมหานิยมและแคล้วคลาด จากสมเด็จพระสังฆราชไก่เถื่อน ผู้เลี้ยงไก่ป่าให้เชื่องได้ดังไก่บ้านไว้เต็มลานนั่นเอง

ที่มาบทความ :เว็บบอร์ด สนธนาธรรม สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน สระบุรี

วันพฤหัสบดีที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2561

การงอกในเนื้อพระ สมเด็จเก่า


พระสมเด็จ องค์ครู

ในการศึกษา เกี่ยวกับ พระสมเด็จแท้ ของท่านสมเด็จพุฒาจารย์(โต พรหมรังสี) ต้องหาพระสมเด็จ เพื่อมาเป็นองค์ครู หรือองค์ต้นแบบ ที่จะใช้ประกอบในการหาข้อมูล ของเนื้อพระมวลสาร ของพระสมเด็จ รวมถึง ความเก่าขององค์พระ


















วันจันทร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2561

วิธีล้างพระเพื่อทำความสะอาดพระสมเด็จ

วิธีสรงน้ำพระเพื่อทำความสะอาดพระสมเด็จฯ ที่ถูกต้อง เพื่อรักษาสภาพองค์พระให้คงเดิม...
 ✨๑. วิธีสรงน้ำพระ เมื่อได้มาใหม่ๆ ให้ใช้แอลกอฮอล์ชโลมเพื่อฆ่าเชื้อโรคก่อน ( เพื่อไว้ใช้ทำน้ำมนต์ได้ ป้องกันเชื้อโรค ) แล้วจึงสรงด้วยน้ำอุ่น ใช้สำลีลูบไล้ตามซอกต่างๆให้ทั่วแล้วนำไปผึ่งลมให้แห้ง เมื่อแห้งดีแล้วอาจพบว่าสีพระจะซีดไปบ้าง อันเนื่องมาจากเหงื่อไคล หรือฝุ่น หรือขี้มือ หลุดออกไป การแก้ไขความซีดของเนื้อพระนี้ทำได้โดย ให้ใช้น้ำหอมไม่มีสี หรือน้ำปรุงเล็กน้อยผสมกับน้ำอุ่น สรงให้ทั่วองค์ เนื้อพระจะมีวรรณะเข้มขึ้นดังเดิม


 ✨๒. วิธีกำจัดฝุ่นละออง ใช้คอทตอนบลัชลูบเบาๆ ปั่น ปัดในซอก ฝุ่นละอองก็จะหลุดออกไป วิธีนี้จะเหมาะสำหรับพระที่ต้องการเก็บเข้ากล่องนานๆ วิธีล้างทำความสะอาดพระเครื่องที่ถูกต้องนั้น ต้องดูที่ว่าเราต้องการทำความสะอาดอะไร และพระนั้นๆ มีเนื้อวัสดุเป็นอะไร เพราะการทำความสะอาดจะไม่เหมือนกันครับ การทำความสะอาดก็ต้องประณีตพอสมควร ไม่เช่นนั้นจะทำให้พระเก่าๆ นั้นเสียหายได้ครับ เอาละผมจะพูดถึงการทำความสะอาดทั่วๆ ไปก่อน ถ้าพระเครื่องของคุณสกปรกอาจจะมาจากคราบเหงื่อไคลหรือผงฝุ่นละอองต่างๆ ก็ให้นำเตรียมน้ำอุ่นแล้วผสมกับสบู่เหลวใส่ถ้วยไว้ หาพู่กันระบายสี เอาชนิดดีๆ หน่อย จะเป็นของสง่ามะยุระก็ได้เอาประเภทขนแปรงอ่อนๆ ก็แล้วกัน จากนั้น ให้ตัดปลายพู่กันให้สั้นลงสักเกือบครึ่งหนึ่งเพื่อให้ขนแปรงมีสปริง จากนั้นก็นำพระที่จะล้างลงแช่ในน้ำอุ่นที่เตรียมไว้ ค่อยๆ ใช้พู่กันปัดเบาๆ หลายๆ ครั้ง จะเห็นว่าคราบสกปรกจะค่อยหลุดออกเองครับ ทำอย่างนั้นจนกว่าจะพอใจ แล้วก็นำน้ำสะอาดมาใส่ถ้วยแล้วนำพระมาล้างอีกครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นก็นำพระไปผึ่งลมจนแห้งหรือผึ่งลมไว้สัก ๒๔ ช.ม. ก็เป็นอันเสร็จพิธีครับ ข้อสำคัญอย่าล้างแบบรีบร้อนเพื่อต้องการเอาสิ่งสกปรกออกเร็วๆ ต้องค่อยๆ ล้างออกทีละนิดทีละนิดนะครับ 

พระสมเด็จ ที่ผ่านกาารล้างมาแล้ว

✨๓. วิธีกำจัดเชื้อรา เมื่อถึงฤดูฝนพระที่เก็บไว้นานๆอาจมีความชื้นมากกว่าปกติ ดังนั้นจึงควรนำพระออกมาทำการผึ่งแดดบ้าง เพราะอาจจะมีเชื้อราบางๆ จับอยู่ตามซอก วิธีแก้หากมีเชื้อราเกาะอยู่ ให้ใช้ขนมปังปอนด์ เอาเฉพาะส่วนที่นุ่มๆ ตรงกลางตบเบาๆ บนเนื้อพระ ราและผงฝุ่นก็จะหลุดออกหมด แต่ถ้าหากต้องการทำความสะอาดให้หมดจด ก็ให้เอาพระซุกเอาไว้ตรงกลางของเนื้อขนมปัง แล้วนำผ้าชุบน้ำหมาดๆ ห่อขนมปังไว้อีกที แต่ต้องคอยระวังอย่าให้ผ้าแห้ง เพราะจะทำให้ขนมปังแข็งตัว ทิ้งไว้ประมาณ ๑ - ๒ คืน เมื่อเอาพระออกมา ให้ใช้แปรงอ่อนๆ ปัดเศษขนมปังออกให้หมด จากนั้นให้นำพระไปผึ่งลมให้แห้งสนิท เท่านี้เนื้อพระก็จะสะอาดเกลี้ยงเกลา วิธีนี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับพระสมเด็จ ชนิดมีแป้งโรยพิมพ์

 เนื้อพระสมเด็จหลังการล้าง

✨๔. วิธีกำจัดความชื้น ความชื้นที่ว่านี้อาจมีคราบน้ำมันอันเกิดจากเหงื่อไคลไม่มากนัก และไม่มีขี้มือเปรอะเปื้อน มีวิธีปฏิบัติดังนี้
🌕๔.๑ ใช้ข้าวสารกลบไว้ในภาชนะขนาดย่อมๆ ๒ - ๓ คืน เมื่อเอาออกมาให้ใช้แปรงขนอ่อนๆ ปัดฝุ่นข้าวสารออก เนื้อพระก็จะแห้งปราศจากคราบน้ำมัน ผิวพระจะนวลนุ่มชุ่มชื่นกว่าเก่า เหมาะสำหรับทำความสะอาดพระเนื้อนุ่ม
🌔๔.๒ สรงด้วยน้ำซาวข้าวที่มีตะกอนข้นๆ แช่พระไว้ ๑ - ๒ ชั่วโมง แล้วจึงนำไปล้างออกด้วยน้ำสะอาด นำไปผึ่งลมให้แห้งสนิท เหมาะสำหรับพระเนื้อแกร่ง

✨๕. วิธีล้างรักออกจากองค์พระนั้น อันนี้ต้องใช้ฝีมือหน่อยในการล้างรักในพระสมเด็จฯ เป็นกรรมวิธีที่ต้องใช้ความประณีตมาก ขั้นแรกให้ไปซื้อนำยาลอกสีจากร้านวัสดุก่อสร้างมาหนึ่งกระป๋อง เอากระป๋องเล็กก็พอ ขอนำเสนอยี่ห้อไดคลอโรมีเทน (Dichloromethane) กระป๋องละ ๑๒๐ บาท จากนั้นก็นำน้ำยาลอกสีมาใส่ภาชนะที่เป็นกระเบื้องหรือแก้วก็ได้ ตักออกมาเล็กน้อย จากนั้นก็เอาไม้ไผ่แตะน้ำยานำมาแต้มที่บริเวณรักที่ต้องการจะลอก ให้ทำทีละจุดเล็กๆ ก่อน ทิ้งไว้สักครู่ก็จะเห็นว่ารักจะเริ่มพองและเริ่มล่อนออกมา ก็ให้ใช้พู่กันปัดเอารักออก ทำไปเรื่อยๆ จนหมด

หรือใช้อีกวิธีหนึ่งคือ ผสมน้ำอัตรา ๑ ต่อ ๓ ให้ดูอายุรักด้วยว่ากรอบมากหรือน้อย ถ้ากรอบน้อยก็ผสมให้เข้มข้นมาก ถ้ากรอบมากแสดงว่ารักจะหมดอายุแล้วก็ผสมบางๆ จากนั้นก็หาพู่กันขนแข็งมาหนึ่งอัน แต่ไม่ต้องตัดปลายออก ใช้พู่กันป้ายทีละจุด พอป้ายปั๊บก็จุ่มพระลงไปในอ่างที่แช่น้ำแข็ง รักจะได้รีบหดตัวหรือม้วนตัว แล้วใช้ปลายพู่กันค่อยๆ แทงรักให้หลุดหากปลายพู่กันแทงไม่ออกก็ให้ใช้ปลายไม้จิ้มฟันที่สำคัญอย่าให้โดนผิวพระเป็นเด็ดขาด

จากนั้นก็หาภาชนะใส่น้ำไว้ ๒ อัน อันแรกให้ใส่น้ำผสมสบู่เหลว อันที่สองให้ใส่น้ำสะอาดเตรียมไว้ จากนั้นก็นำพระไปล้างที่น้ำผสมสบู่เหลว ปัดด้วยพู่กันขนอ่อน ล้างให้สะอาดแล้วล้างซ้ำด้วยน้ำสะอาดอีกที แล้วจึงนำไปผึ่ง เป็นอันเสร็จพิธีครับ อย่าลืมว่า การทำทั้งสองอย่างที่บอกมานี้ต้องค่อยๆ ทำทีละน้อยทีละจุด อย่างประณีต ไม่เช่นนั้นจะทำให้องค์พระเสียหายได้ครับ อ้อน้ำยาลอกสีนี้ เวลาใช้ต้องระวังให้มากครับ อย่าให้กระเด็นโดนผิวหรือตาเป็นอันขาด เพราะมีส่วนผสมของโซดาไฟครับ ถ้าโดนผิวจะแสบจี๊ดเลยครับ ถ้ากระเด็นโดนก็ให้รีบล้างด้วยน้ำสะอาดมากๆ และถ้าโดนตาละก็ไม่ต้องพูดครับ รีบล้างด้วยน้ำสะอาด แล้วรีบหาหมอลูกเดียว...

🌟.น้ำที่สรงพระทำความสะอาดนั้น จะเป็นน้ำมนต์ ( ห้ามนำไปดื่ม ) ให้เก็บเอาไว้ใช้ ผสมน้ำอาบรักษาโรคได้ หรือ ใช้ชำระสิ่งอัปมงคล ล้างเสนียจจัญไรได้ หรือไว้ใช้แก้อาถรรพ์ต่างๆได้ ควรเก็บใส่ขวดรักษาไว้ ถ้าไม่ต้องการเก็บไว้ ให้นำไปเทที่โคนต้นไม้ หรือกระถางต้นว่านไม้ต่างๆที่ปลูกไว้ จะเสริมพลังให้ต้นว่านได้อีกด้วยครับ แล้วอธิษฐานว่า ขอถวายน้ำมนต์จากการสรงน้ำพระทำความสะอาดนี้แด่พระแม่ธรณี

❉❉❉❉❉❉❉❉❉❉❉❉❉❉❉❉❉❉❉❉❉❉❉❉

🌟การล้างหรือสรงน้ำ พระสมเด็จ นอกจากการล้างเพื่อทำความสะอาดองค์พระ  ทำให้สิ่งที่เกาะติดอยู่บนเนื้อผิวพระ  หลุดออกไป เรายังได้สิ่งที่ต้องการเรียนรู้ คือ

⭐1.ผิวและเนื้อของพระสมเด็จ ว่า่เป็นอย่างไร ถ้ามีความชำนาญมากๆ สามารรถที่จะคาดเดาอายุของพระสมเด็จได้อีกด้้วย
⭐2.ดูการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นบนผิวเนื้อพระ ฝ้าขาวของน้ำปูนดิบ หรือแคลไซต์ ที่เกาะ บนผิวเนื้อพระสมเด็จ  สามาถ ให้คำตอบในเรื่องความเก่า ระหว่างองค์พระที่ทำการล้างในเวลาาเดียวกัน  คำนวนความเก่าของพระสมเด็จ จาก ปฏิกริยาที่เกิดขึ้น
⭐3.เนื้อของพระที่แตกต่าง🌔ทำให้รู้ถึงการเปลี่ยนของมวลสารที่ใช้สร้้างพระสมเด็จ..

พระสมเด็จแท้ ทันยุค จากพระสมเด็จองค์ครู องค์ที่ 2

ภาพขยาย พระสมเด็จ พิมพ์ใหญ่ องค์ครู  องค์ที่ 2

ภาพขยายด้านหน้าองค์พระสมเด็จ องค์ครู องค์ที่ 2
( ถ่ายจากพระสมเด็จองค์จริง)



































ภาพขยายด้านหลังพระสมเด็จ องค์ครู องค์ที่ 2
(ถ่ายจากพระองค์จริง)