ตามรอยธรรมสมเด็จโต


กรรมที่เราได้ทำล่วงไปแล้วก็ดี เมื่อถึงเวลามันจะให้ผล ก็ไม่มีอะไร..เทพเทวดาฟ้าดินในสิ่งศักดิสิทธิ์ทั้งหลายที่จะสามารถต้านทานได้ แม้ว่าสิ่งศักดิสิทธิ์เค้าจะเมตตาอยากจะช่วยเพียงใด ก็ไม่สามารถต้านทานในแรงกรรมนั้นได้ ถ้าโยมไม่ช่วยตัวเองเสียก่อน.
.  

การที่โยมได้มาเจริญในทาน ศีล ภาวนานี้แล เรียกว่าเป็นการสะสมเสบียงบุญ เพื่อจะเดินทางต่อไปในภพชาติหน้า ถ้าชาตินี้ยังมีจริง..ชาติหน้ามันก็ต้องมี เมื่อวันผ่านมาเรียกว่าเป็นอดีต ในปัจจุบันนี้แลแสดงว่าวันต่อไปเรียกว่าภพชาติหน้าคืออนาคต..มันก็ต้องมีอยู่จริง ถ้าเรามีความเชื่อได้แล้วอย่างนี้ ก็ให้เชื่อได้เลยว่าภพชาตินี้เมื่อเราได้เกิดมาแล้ว ขอให้โยมทำความดีให้ถึงพร้อมในทาน ในศีล ในภาวนา การอบรมบ่มจิตให้เข้าถึงภัยในวัฏฏะ  


ภัยในวัฏฏะเป็นอย่างไร ใครเห็นภัยในวัฏฏะแม้เสี้ยวขณะจิตเดียว ก็มีอานิสงส์กว่าผู้ที่เจริญเป็นสมณะ เจริญศีลทรงศีลมาร้อยกว่าปี ก็ยังไม่เท่าผู้ที่เจริญจิตภาวนาและเข้าถึงความสงบ แล้วเกิดปัญญาเห็นภัยในวัฏฏะแม้เพียงครั้งเดียวก็ยังไม่ได้ นั่นก็หมายถึงว่าเมื่อเรานั้นอบรมบ่มจิตเข้าถึงความสงบ เข้าถึงศีล เข้าถึงตัวปัญญา เข้าถึงตัวสติ ตัวรู้ ตัวญาณทัศนะเห็นว่า ในกายสังขารนี้ที่เห็น..นั่นก็คือเวทนาทุกข์ที่เกิดขึ้นอยู่ในกาย  

แสดงว่ากายนี้เป็นของเป็นทุกข์ แสดงว่าเหตุหลักใหญ่หรือเรียกว่าสมุทัย จิตที่เราส่งออกไปภายนอกนั้นแลเรียกว่าสมุทัย ผลของจิตที่ส่งออกไปจึงเรียกว่าเป็นตัวทุกข์ นิโรธคือการเห็นจิตนั้นตั้งอยู่และดับไปนั้นแล จึงเรียกว่านิโรธคือตัวดับ ผลจากจิตที่เราเห็นอารมณ์ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปนั้นแลจึงเรียกว่ามรรค คือหนทางที่จะออกจากทุกข์แห่งภัยในวัฏฏะนี้.. 

เมื่อเราเจริญให้มาก ทำนิโรธให้แจ้งอยู่บ่อยๆ การทำนิโรธให้แจ้งบ่อยๆเป็นอย่างไร แจ้งประจักษ์กำหนดรู้ในเวทนาที่เกิดขึ้น และเพ่งอยู่ในสติปัฏฐาน ๔ ในกาย เวทนา จิต ธรรม..กาย เวทนา จิต ธรรมเป็นอย่างไร กายเมื่อมีกายจึงมีเวทนาจึงมีความรู้สึก จิตคือตัวรับรู้อารมณ์ ธรรมคือสภาวะที่เกิดขึ้น หรือเรียกว่าผัสสะมากระทบ เมื่อโยมรู้ได้อย่างนี้อยู่แล้ว..ถ้าดับที่กายได้เวทนาก็ดับ

 เมื่อเวทนาดับจิตเป็นผู้รู้ย่อมตื่นรู้ในเวทนานั้น ผัสสะมากระทบก็ย่อมเกิดเข้าถึงในตัวนิโรธคือการดับของจิตนั้น ย่อมเห็นว่าสภาวจิตสภาวะธรรมนั้น..แม้จิตก็ไม่เที่ยง ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเลย เมื่อเป็นอย่างนี้กายก็ดับ เมื่อกายดับเสียแล้วอย่างนี้ จึงได้เห็นได้ว่าทุกข์ทั้งหลายทั้งปวง..เหตุเพราะจิตเข้าไปยึดมั่นถือมั่นในกายนี้ จึงทำให้เกิดภพเกิดชาติวนเวียนอย่างนี้เป็นวัฏฏะ เมื่อเราเห็นภัยในโทษในกายนี้อย่างถึงที่สุดว่า การเกิดเป็นทุกข์เพียงใด จิตนั้นจะตื่นรู้ ถ้าทำอย่างนี้บ่อยๆ พระองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่า "ผู้ใดเจริญเพ่งอยู่ในสติปัฏฐานอย่างนี้อยู่บ่อยๆ แล้วเข้าถึงความสงบเข้าถึงตัวปัญญา หากปรารถนาจะไม่เกิดอีกต่อไปย่อมเป็นได้ในชาติปัจจุบันนี้" เข้าใจมั้ยจ๊ะ 

ขอให้โยมนั้นได้ตระหนักว่า การได้บำเพ็ญจิตคือทำกุศลให้เกิดขึ้น นั่นเรียกว่าเจริญให้มาก การเจริญให้มากคือทำให้มาก การทำให้มากเป็นอย่างไร นั่นคือการละอารมณ์ที่เป็นอกุศลเป็นข้าศึกแห่งพรหมจรรย์ คือความโลภ คือความอยากได้ใคร่ดี และกามตัณหากามคุณนั้นให้มันน้อย..

นั่นเรียกว่าทำมาก อันว่ากรรมฐานนี้แลจะตัดกรรมได้ทุกอย่าง แต่การจะตัดกรรมได้มันต้องตัดใจให้ได้เสียก่อน คือทำจิตให้เหนือกายให้เหนืออารมณ์ ถ้าเราไม่เหนืออารมณ์เราก็จะไม่เห็นกาย เห็นเหตุแห่งทุกข์ เห็นอริยสัจ ผู้ใดยังไม่เห็นอริยสัจย่อมไม่เข้าเห็นถึงกฏแห่งไตรลักษณ์ ถ้ายังไม่เห็นกฏแห่งไตรลักษณ์ก็ยังเห็นความเป็นจริงไม่ได้ เมื่อยังเห็นความเป็นจริงไม่ได้ ผู้นั้นจะพ้นจากอวิชชาไม่ได้เลย ดังนั้นผู้ใดเห็นกฏในไตรลักษณ์เมื่อไหร่ ต้องเข้าถึงในอริยสัจ ๔ ให้ได้ คือรู้จิตรู้ผัสสะมากระทบอารมณ์ แต่การจะรู้อย่างนี้แม้เราไม่เจริญสมาธิ ถ้าเราเจริญสติอยู่ ภาวนาอยู่ และรู้เท่าทันในอารมณ์ที่เกิดขึ้น ผู้นั้นได้ชื่อว่าเจริญฌานให้เกิดขึ้นแม้ไม่ต้องหลับตา นั่นก็เรียกว่าเมื่อมีอะไรมากระทบโสตประสาทหู ว่าเราพอใจและไม่พอใจ เราสามารถระงับลงได้ในความไม่โกรธก็ดี ในความไม่พอใจก็ดีเหล่านี้ นี่เรียกว่าสติ จึงเรียกว่าตัวระงับ ไอ้ตัวที่เท่าทันและดับได้นั่นแลเรียกว่านิโรธ ทุกข์ทั้งหลายที่ทำให้เกิดขึ้นกับทางกายทางใจก็ดีมันก็ดับลง ภพชาติหรือเวรพยาบาทมันก็สิ้นสุดได้..เมื่อเราทำให้มันมากขึ้น 

มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต 
โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒

ไม่มีความคิดเห็น: