วันจันทร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2561

ผงวิเศษ ของท่านสมเด็จพุฒาจารย์โต พรหมรังสี

เป็นที่ทราบกันดีอยู่ว่า พระสมเด็จ วัดระฆัง ที่สร้างโดย สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสีเมื่อปี ๒๔๐๙ นั้น มีส่วนผสมของปูนเปลือกหอย กล้วยน้ำหว้า ดินจากกำแพงเพชร ณ ลานทุ่งเศรษฐี ที่สันนิษฐานว่าต้องมีการนำพระศักดิ์สิทธิ์อย่าง พระซุ้มกอหนึ่งในชุดเบญจภาคี สกุลกำแพงเพชร แห่งลานทุ่งเศรษฐี มาเป็นส่วนผสมอยู่ด้วย


สุดยอดของส่วนผสมก็คือ ผงวิเศษทั้ง ๕ ที่ สมเด็จฯ โตทรงอาศัยความเป็นอัจฉริยภาพของพระองค์ทำขึ้นมา และส่วนผสมทั้งหลายเหล่านี้ มีนํ้ามันตังอิ้วเป็นตัวการสำคัญในการผสานมวลสารให้เกาะติด เป็นรูปทรงตามพระประสงค์ของท่านเจ้าประคุณได้เป็นอย่างดี เป็นผลให้ พระสมเด็จ (โต) คงสภาพถาวร ไม่เปื่อยยุ่ยแตกสลายแม้กาลเวลาจะผ่านมากว่าร้อยปี หลายท่านรู้ดีว่า "ผงวิเศษ"ที่นำมาใช้ในการผสม เป็นมวลสารหนึ่งในพระสมเด็จ วัดระฆังนั้น ประกอบไปด้วย
✨ผงปถมัง
✨อิทธิเจ
✨มหาราช
✨พุทธคุณ
✨ตรีนิสิงเห

หลายคนคิดว่า "ผงวิเศษ"เหล่านี้เป็นผงแต่ละชนิด นำมาผสมผสานปนเปกันเวลาทำพระ แต่แท้ที่จริงแล้ว เป็นผงชุดเดียวกันที่ผ่านกรรมวิธีการสร้างอันซับซ้อนถึง ๕ ขั้นตอน

เรื่องนี้ พระธรรมถาวรที่บวชเป็นเณรในยุคนั้น ซึ่งท่านเป็นศิษย์ของ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)และเป็นผู้หนึ่งที่มีช่วงชีวิตทัน เจ้าประคุณ สมเด็จ(โต) อีกทั้งยังมีส่วนร่วมในการสร้างพระพิมพ์ของ พระสมเด็จโตในครั้งกระนั้นด้วย ให้การยืนยันถึงการทำผงวิเศษทั้ง ๕ ของสมเด็จ(โต)ว่าเป็นผงเดียวกัน แต่ผ่านกรรมวิธี ๕ ขั้นตอนดังนี้


"สมเด็จฯ โตท่านจะกระทำผงนี้ในพระอุโบสถ โดยการเตรียมเครื่องสักการะเช่นเดียวกับการไหว้ครู และตั้งเครื่องสักการะต่างๆ ไว้หน้าพระประธาน จุดธูปเทียนบูชาพระแล้วยกถาดที่มีดินสอที่ประกอบจากผงวิเศษมาผสมรวมกับดินโป่ง ๗ โป่ง ดินตีนท่า ๗ ท่า ดินหลักเมือง ๗ หลักเมือง ขี้เถ้าไส้เทียนที่ใช้บูชาพระประธานในพระอุโบสถ นอกจากนี้ก็มี ดอกกาหลง ยอดรักซ้อน ขี้ไคลเสมา ขี้ไคลประตูวัง ขี้ไคลเสาตะลุงช้างเผือก ไม้ราชพฤกษ์-ชัยพฤกษ์ ต้นพลูร่วมใจ พลูสองทาง กระแจะตะนาว นํ้ามันเจ็ดรส และดินสอพอง โดยนำสิ่งต่างๆ ที่กล่าวมานี้ มาป่นละเอียดผสมนํ้านำมาปั้นเป็นแท่งดินสอ นำออกตากผึ่งแดดให้แห้ง ให้จับเขียนได้ ลักษณะคล้ายกับแท่งชอล์ค อย่างปัจจุบัน แต่มีขนาดและความแข็งผิดกันเล็กน้อย โดยกระเดียดไปทางดินสอที่ใช้เขียนกระดานชนวนอย่างโบราณ เมื่อนำดินสอที่ทำจากผงวิเศษ ซึ่งบรรจุอยู่ในถาดขึ้นจบเหนือพระเศียร แล้วกล่าวคาถาอัญเชิญครู อัญเชิญเทพยดา ทำประสะนํ้ามนต์พรมตัวท่านเอง จากนั้นก็จะทรงเรียกอักขระเข้าตัว และอัญเชิญครูเข้าตัว จึงจะเริ่มทำสมาธิ เขียนสูตร ชักเลขยันต์ เจริญพระคาถา เอาดินสอที่ทำจากผงวิเศษนี้ เขียนลงบนแผ่นกระดาน แล้วเรียกสูตร นะปฐมํพินธุ แล้วว่าพระคาถาของสูตรการลบ เขียนแล้วลบ เขียนแล้วลบ หลายครั้ง จนกว่าจะครบถ้วนตามตำราการทำ ผงปฐมํ นี้ ต้องใช้ดินสอเขียนมาก และใช้เวลาเขียนนาน ๒-๓ เดือน จึงจะแล้วเสร็จ ได้ผงปถมังอันเป็นผงชนิดแรกที่เกิดขึ้นก่อนผงวิเศษอื่นๆ ซึ่งชื่อคำว่า ปฐมํนี้มีความหมายว่า ผงวิเศษที่สร้างเป็นปฐม ก็น่าจะเป็นหนึ่งในความหมาย



เมื่อได้ ผงปถมัง หรือ ปฐมํ แล้ว ซึ่งผงเหล่านี้เกิดจากการเขียนแล้วลบ เขียนแล้วลบ ดังที่กล่าวมาอานุภาพของผงปถมังนี้ มีหลายประการ คือ ทั้งเมตตามหานิยม แต่หนักไปทางคงกระพันชาตรี มหาอุตม์ แคล้วคลาด กำบังล่องหน ป้องกันภูตผีปีศาจ ตลอดจนคุณไสยทั้งปวงได้ ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต)จะนำผงปถมัง มาผสมกับนํ้าพระพุทธมนต์ ปั้นเป็นดินสอขึ้นอีกครั้ง แล้วเขียนอักขระด้วยสูตรมูลกัจจายน์ แล้วลบด้วยสูตรลบผง สมเด็จฯ โตท่านก็เขียนแล้วลบ ทำดังเช่นการทำผงปถมัง หากแต่เป็นบทบริกรรมพระคาถาคนละประเภท จนได้ผงอิทธิเจ หรือ อิธะเจ ตามคัมภีร์โบราณ ซึ่งใช้เวลาในการทำผงนี้ประมาณ ๓ วัน

สำหรับ "ผงอิทธิเจ" นี้ให้พุทธคุณในด้านเมตตามหานิยมอย่างยิ่ง และป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ เมื่อได้ "ผงอิทธิเจ" แล้ว ท่านเจ้าประคุณฯสมเด็จโต ก็นำผงมาทำเป็นดินสอขึ้นอีก แล้วเรียกสูตรมหาราชขึ้น แล้วลบด้วยสูตรนามทั้งห้า ซึ่งใช้เวลาในการทำผงมหาราชนี้ประมาณ ๒-๓ เดือน เช่นเดียวกับผงปถมัง

อานุภาพของผงมหาราช นี้มีคุณวิเศษทางเมตตามหานิยมอย่างสูง ป้องกันและถอนคุณไสยได้ อีกทั้งยังดีทางแคล้วคลาดอีกด้วย เมื่อสำเร็จได้ ผงมหาราช ก็นำมาทำดินสอขึ้นอีก เรียกสูตรและลบอักขระเกี่ยวกับพุทธคุณนานาประการ เริ่มต้นตั้งแต่สมเด็จพระพุทธเจ้าทรงประสูติ จวบจนดับขันธ์ปรินิพพาน ผงวิเศษที่ได้นี้มีชื่อว่า ผงพุทธคุณซึ่งมีอานุภาพในด้านเมตตามหานิยมสูง นอกจากนี้ยังมีอานุภาพในด้านกำบัง สะเดาะ และล่องหนอีกด้วย 

เมื่อได้ ผงพุทธคุณอันเกิดจากขั้นตอนต่างๆ ที่กล่าวมาแล้ว ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯก็นำผงพุทธคุณมาทำเป็นดินสอขึ้นเช่นที่ทำผ่านมา แล้วลงสูตรเลขไทยโบราณ สูตรอัตตราทวาทศมงคล ๑๒ จนบังเกิดเป็น ผงตรีนิสิงเหซึ่งเป็นผงสุดท้าย ซึ่งผ่านกรรมวิธีแปลงมาจากผงวิเศษเดิมทั้ง ๔ ประเภท จากนั้นก็ทรงนำผงนี้เขียนอัตตรายันต์ ๑๒ และทรงรับสั่งว่าที่สำคัญที่สุดขาดมิได้คือ ยันต์นารายณ์ถอดรูป ซึ่งถือเป็นยันต์ประจำขององค์ตรีนิสิงเห นอกจากนี้ยังมียันต์พระภควัมบดีและยันต์ตราพระสี ประทับลงเป็นประการสุดท้าย ก่อนที่จะลบรวมเป็น ผงมหามงคลที่วิเศษยิ่งทั้งห้า

 อานุภาพของ "ผงตรีนิสิงเห" นี้ มีความครบถ้วน เพราะเป็นผงที่เกิดจากการหลอมรวมผงวิเศษทั้ง ๔ ในชั้นต้น ทำให้ส่งผลบังเกิดในหลายด้าน ทั้งเมตตามหานิยม, ป้องกันถอดถอนคุณไสย และภูตผีปีศาจทั้งปวง แม้เขี้ยวเล็บงาแม้เขาสัตว์ มิให้ระคาย, โรคภัยไข้เจ็บกลับหาย, อุบัติเหตุ อัคคีภัย และอันตรายทั้งปวง ป้องกัน แคล้วคลาดได้ตามแต่จะปรารถนา เมื่อเจ้าประคุณสมเด็จฯโตได้ผงวิเศษ ทำการผสมกับส่วนผสมต่างๆ ที่ได้กล่าวมา จึงมารวมกับส่วนผสมอื่น แล้วจึงนำส่วนผสมทั้งหมดหยอดลงในแม่พิมพ์ที่แกะไว้ กดพระออกมา จากนั้นก็ทำการตัดองค์

พระ แล้วนำออกมาผึ่งให้แห้งจนได้ "พระพิมพ์"ตามพระประสงค์ ท่านทรงเอาพระใส่บาตรปลุกเสกทุกวันมิได้ขาด โดยท่านได้ใช้พระคาถามหาวิเศษบทหนึ่ง อันเป็นพระคาถาโบราณในรูปของปัฐยาวัตฉันท์ แล้ว เจ้าประคุณสมเด็จฯโต ท่านได้ตัดทอนเติมต่อให้พอเหมาะ ทั้งดัดแปลงศัพท์บางคำให้สมควรใช้เป็น

พระคาถาปลุกเสกพระสมเด็จของท่านพระคาถานั้นคือ พระคาถาชินบัญชรอันเป็นพระคาถาที่อัญเชิญพระพุทธเจ้า ๒๘ พระองค์ และพระอรหันต์สำคัญหลายองค์มาปกป้องคุ้มครองผู้บริกรรมพระคาถานี้ อานุภาพของพระคาถาชินบัญชรนี้ มีคุณานุภาพมากมายหลายประการจนสุดบรรยาย เรียกได้ว่าให้ผลครอบจักรวาล ทั้งยังนำมาบริกรรมทำนํ้ามนต์เพื่อปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บได้สารพัด และที่หลายท่านมีประสบการณ์เล่าขานกันมา พระคาถานี้ดีนักหนาทางเมตตามหานิยม แคล้วคลาด คงทนอีกด้วย

ขอขอบคุณ ผู้ที่เขียนบทความนี้ ขอกุศล บังเกิดขึ้นแก่ท่านตลอดไป...

ไม่มีความคิดเห็น: