✨จุดประสงค์ที่ผู้สร้าง “น้ำยาหยดหาอายุพระฯ”...ต้องการจะบอกอะไร?
✨กำลังจะสื่ออะไรให้สังคมได้รู้ ให้สังคมได้เรียนรู้....
✨ที่เขาอ้างว่าเป็นวิทยาศาสตร์...นั้น
✨ผมเองได้ยินได้ฟัง “น้ำยาฟองฟู่” นี้มานานในสองสามปีที่ผ่านมา..
แต่ไม่มีรายละเอียดที่จะเอาข้อมูลมาวิเคราะห์ได้...
เผอิญวันนี้ ได้เห็นข้อมูลนี้ ก็เลยเอามาศึกษาดู...”กระบวนการทางวิทยาศาสตร์”...จากสิ่งที่เขาได้เขียนเป็นบทพิสูจน์พระสมเด็จฯ ตามหลักวิทยาศาสตร์ พร้อมๆ กันกับเพื่อน วิเคราะห์ขณะที่กำลังอ่าน
🌟🌟🌟🌟🌟🌟🌟🌟🌟🌟
✨เริ่มต้นบทความของคน..... “ต้นเรื่องหยดน้ำยาฟองฟู่”
บทพิสูจน์พระสมเด็จฯ ตามหลักวิทยาศาสตร์
พระสมเด็จฯ เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ เนื่องจากโครงสร้างหลักของพระสมเด็จฯ นั้น ทำมาจากปูนเปลือกหอยหรือหินปูนเป็นหลัก โดยการนำเปลือกหอยมาเผาไฟ แล้วนำมาตำหรือบดให้ละเอียด เปลือกหอยเผาสุก จะเป็นสีขาวหรือปูนขาวนั้นเอง ปูนขาวหรือหินปูน ประกอบด้วย
Cao56%+Co2 44% = CaCo3 มาดูกันว่าคืออะไร
Cao คือ แคลเซียมออกไซด์ Co2 คือ คาร์บอนไดออกไซด์ CaCo3 คือแคลเซียมคาร์บอเนต
จากแคลเซียมคาร์บอเนต เมื่อผ่านกาลเวลาที่ยาวนานก็จะเปลี่ยนเป็นแคลไซต์ (Calcite) และ Calcite เป็นกลุ่มแร่ที่เสถียรที่สุดในกลุ่มแร่คาร์บอเนต เมื่อเราใช้กล้องขยายกำลังสูง หรือกล้องจุลทัศน์ ก็จะเห็นได้ว่า มีความมันวาว เป็นผลึกซ้อนๆ กัน หนาหรือบาง ขึ้นอยุ่กับอายุ เกิดการทำปฏิกิริยาทางเคมี ผิวพระสมเด็จจึงเป็นมันวาวสีรุ้ง
เมื่อใช้นำ้ยาทางเคมี หยดลงไปที่ผิวพระสมเด็จ ที่มีอายุการสร้างเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว ก็จะเกิดฟอง และฟองเหล่านี้ก็คือ ฟองคาร์บอนไดออกไซด์นั้นเอง หากฟองค่อยๆ โตขึ้น นั้นหมายถึงพระมีอายุหลักร้อยปี
การฉายรังสีและการศึกษาสัญญาณอิเล็กตรอนสปินเรโซแนน (ESR) หาอายุของแคลไซด์จากธรรมชาติได้ เป็นผลงานของคณะอาจารย์จากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาลัยเขตปัตตานี แผนกวิชาฟิสิกส์ ภาควิชาวิทยาศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่ให้ความรู้เรื่องแร่แคลไซต์ ทำให้เราเข้าใจธรรมชาติของแร่แคลเซียมคาร์บอเนต และแร่แคลไซต์
“น้ำยาเช็คแคลไซด์ในพระสมเด็จ+คู่มือการใช้” ซึ่งสมัยก่อนคงเคยพอได้ยินว่า “เซียนน้ำยา” ซึ่งจะรู้กันแค่วงในเท่านั้น ซึ่งจะหาซื้อได้ยากมาก ปัจจุบันได้มีการนำเข้า สารสกัดจากธรรมชาติซึ่งไม่ทำลายเนื้อพระ มาจัดจะหน่ายโดยศูนพระเครื่องและนิตยสารพระเครื่อง ในราคาหลอดละ 300 บาท
...........(ขายกล้อง)
........(ขายกล้อง)
หมายเหตุ* กล้องสไลด์มีไฟทั้งสองแบบสามารถใช้เมื่อมีแสงน้อยๆ หรือไม่มีแสงสว่างเลย โดยเฉพาะเมื่อนำมาใช้กับ “นำยาเช็คแคลไซด์ในพระสมเด็จ” จะได้ผลดีเป็นพิเศษ เพราะแสงไฟจะช่วยให้สามารถมองเห็นฟองน้ำ ที่อยู่ในหยดน้ำยาได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
คำแนะนำ
ให้หยดน้ำยาลงบริเวณที่จะตรวจ เพียง 1 หยด หยดเล็กๆ เท่านั้น
สังเกตการเกิดฟองดังนี้
1. ไม่มีฟอง แสดงว่า พระไม่ได้ทำด้วยปูน อาจจะเป็นเนื้อเรซิ่น
2. ฟองเล็ก เกาะติดที่ผิวพระ ไม่ขยับ เป็นพระใหม่
3. ฟองเล็ก ลอยขึ้นรวดเร็ว เป็นพระมีอายุหลายสิบปี
4. ฟองเล็กและฟองใหญ่ สลับกันลอยขึ้น เป็นพระมีอายุ อาจจะเป็นพระสมเด็จยุคปลายหรือยุคกลาง
5. ฟองใหญ่ ลอยขึ้นช้า สลับกันลอยขึ้น เป็นพระมีอายุ อาจจะเป็นพระสมเด็จยุคปลายหรือยุคกลาง
* น้ำยาทำจากส่วนผสมตามธรรมชาติ ไม่ทำลายเนื้อพระ หรือเป็นพิษต่อผู้ใช้
* ถ้ารอจนฟองหมด หรือนานเกินไป เนื้อพระจะเปิด เห็นเนื้อปูนเดิมก่อนที่ผลึก Calcite จะปกคลุมผิวพระ แสดงว่า “เป็นพระทันยุคสมเด็จโตแน่นอน”
🌟🌟🌟🌟🌟จบส่วนของคำชี้แจง🌟🌟🌟🌟🌟
เพื่อนๆ ค้นหาเพิ่มเติมได้ตรงนี้
ดูข้อมูล คลิกที่นี่ https://th.wikipedia.org
✸ปูนขาว...กับ...ปูนเปลือกหอยเผาไฟนั้น เป็นคนละชนิดกัน
✸ปูนขาว เป็นวัสดุที่ได้จากการเผาหินปูน (แคลเซียมคาร์บอเนต) โดยใช้ความร้อนสูง จะได้เป็นปูนสุก (แคลเซียมออกไซด์, CaO, lime) เมื่อเย็นตัวลงแล้วพรมน้ำให้ชุ่ม ปูนสุกจะทำปฏิกิริยากับน้ำได้เป็น แคลเซียมไฮดรอกไซด์ ส่วนที่เป็นผงแห้งได้เป็น ปูนขาว และส่วนที่เป็นสารแขวนลอยคือ น้ำปูนไลม์ (Milk of lime)
✸ปูนขาว - วิกิพีเดีย
ดูข้อมูล คลิกที่นี่ https://th.wikipedia.org/wiki/
ส่วนปูนเปลือกหอย...ตามไปอ่านดูครับ..ตลกดี
ดูข้อมูล คลิกที่นี่ https://th.wikipedia.org/wiki/
(อาจจะเป็นเรื่องเล่าเท่านั้นก็ได้ครับ)
ปูนขาว เมื่อเราหยดกรดเกลือลงไปแล้ว...จะให้ฟองฟู่......เป็นธรรมชาติของมันอยู่แล้ว...(เป็นความจริงเป็นวิทยาศาสตร์อยู่แล้ว เป็นความจริงตามที่มันเป็นอยู่แล้ว).....
กรณีที่...หากเนื้อพระใหม่มีส่วนผสมของปูนขาว...เอามาหยดน้ำยา...จะเกิดฟองฟู่ได้ไหม?...ได้....ได้อายุไหม?....ได้อายุของปูนขาวไม่ได้อายุของพระที่ผลิต....
ฟองมากฟองน้อย....มันเกิดจาก..สองกรณี....กรณีที่หนึ่ง...
กรดเกลือเข้มข้น...หรือ...เจือจาง
พระที่นำมาทดสอบ...มีปูนขาวเข้มข้น หรือ เจือจาง...
ดังนั้นในย่อหน้าที่สามที่เขากล่าวไว้ว่า
“เมื่อใช้นำ้ยาทางเคมี หยดลงไปที่ผิวพระสมเด็จ ที่มีอายุการสร้างเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว ก็จะเกิดฟอง และฟองเหล่านี้ก็คือ ฟองคาร์บอนไดออกไซด์นั้นเอง หากฟองค่อยๆ โตขึ้น นั้นหมายถึงพระมีอายุหลักร้อยปี”
ความจริงในเรื่องหนึ่ง....จะไปเหมารวมว่า..จะต้องเป็นความจริงอีกเรื่องหนึ่งด้วย จะอ้างว่า...เป็นลักษณะเดียวกันเหมือนกันได้อย่างกรณีนี้..ที่อ้างวิทยาศาสตร์เรื่องนึง... แล้วไปสรุป...อีกเรื่องหนึ่งต้องเป็น “วิทยาศาสตร์”...ไปด้วย...มันไม่เกี่ยวกันเลยครับ
อายุพระมากฟองฟู่มาก...อายุพระน้อยฟองฟู่น้อย...ฟองเล็ก ฟองใหญ่..... มันเกี่ยวกับ “ความรู้คู่ปัญญา”....มากกว่า....
มันเป็นการบิดเบือนความจริง เพื่อให้ “เข้าทาง”.....อย่าหลงประเด็นกับการบิดเบือนนั้นครับ พระเครื่องใดๆ ก็ตาม หากมีส่วนผสมของปูนขาว...(ไม่ว่าจะเป็นพระแท้หรือพระปลอม...เมื่อโดนกรดเกลือก็ย่อมเกิดฟองแบบนี้เช่นกัน....เป็นกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่ปูนขาวทำปฏิกิริยากับกรดเกลือ..เท่านั้น...(เรื่องจริง).....แต่เมื่อเกิดปรากฏการณ์นี้แบบนี้แล้ว..ฟองที่เกิดทำให้สามารถนำพิสูจน์ “พระแท้ถึงยุค”...ที่สมเด็จโตทำขึ้นได้....เนื่องจากได้อายุจากฟองฟู่ๆ.....ตลกเหลือรับประทาน..ครับ...บิดเบือนได้..อย่างหนา....เลยครับ
หลักการทางวิทยาศาสตร์... เมื่อปูนขาว โดนกรดเกลือ..ย่อมเกิดเป็นฟองฟู่.......ย่อมถูกต้องดีแล้วเป็นจริงแล้ว
พระสมเด็จหรือพระใดๆ...ถ้ามีส่วนผสมของปูนขาว..เมื่อโดนกรดเกลือ... ย่อมเกิดเป็นฟองฟู่.......ย่อมถูกต้องดีแล้วเป็นจริงแล้ว
พระสมเด็จหรือพระใดๆ...ถ้าเกิดฟองฟู่ๆ เมื่อโดนกรดเกลือ...แสดงว่าได้อายุฯ แยกพระแท้ พระปลอมได้ (คนที่คิดมุขนี้ได้...ไม่บ้าก็เมา เหมารวมเก่ง) มันไม่ เกี่ยวกันเลยในเรื่องคำตอบแท้เท็จ..หลงทางกันแบบสุดกู่...(ต้องน้ำยากรูพิสูจน์ได้) ยิ่งไป....กำหนดให้พระเป็น...ถ้าเห็นฟอง...ก็เลยแท้เพราะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์.......
โอ้...ว.......ว..... ถ้าผมเชื่อผมคงเป็นพวกสัตว์เคี้ยวเอื้อง...หล่ะครับแบบนี้
ย่อหน้าบรรทัดที่สี่...อ้างถึง
“การฉายรังสีและการศึกษาสัญญาณอิเล็กตรอนสปินเรโซแนน (ESR) หาอายุของแคลไซด์จากธรรมชาติได้ เป็นผลงานของคณะอาจารย์จากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาลัยเขตปัตตานี แผนกวิชาฟิสิกส์ ภาควิชาวิทยาศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่ให้ความรู้เรื่องแร่แคลไซต์ ทำให้เราเข้าใจธรรมชาติของแร่แคลเซียมคาร์บอเนต และแร่แคลไซต์” ดูข้อมูล คลิกที่นี่ http://www0.tint.or.th/
✨✨✨บทคัดย่อ✨✨✨
จากการศึกษาสัญญาณอิเล็กตรอนสปินเรโซแนนซ์ (ESR) ของแคลไซต์ธรรมชาติ ซึ่งรวบรวมจากจังหวัดสระบุรี ทางภาคกลางของประเทศไทย พบสัญญาณ ESR ที่เด่นชัดหกตำแหน่ง ใกล้เคียงบริเวณ g = 2.0000 ซึ่งสอดคล้องกับ สัญญาณของ Mn 2+ ที่มีนิวเคลียร์สปิน I = 5/2 หลังจากนำตัวอย่างฉายรังสีแกมมาที่ 1000 Gy แล้ว พบสัญญาณ ESR ปรากฏเด่นชัดเพิ่มขึ้นที่ g = 2.00 16 โดยสอดคล้องกับสัญญาณของ CO 2 - จากการวิเคราะห์สัญญาณ ESR นี้ แสดงให้ ้เห็นว่า ปริมาณอิเล็กตรอนอิสระจะเพิ่มขึ้น เมื่อ ตัวอย่าง ผ่านการฉายรังสี ข้อมูลในงานวิจัยนี้สามารถใช้เป็นข้อมูลพื้นฐาน ที่สำคัญ สำหรับงานวิจัยทางด้านธรณีวิทยา และการหาอายุแคลไซต์ด้วยวิธีการเพิ่มปริมาณรังสีได้ คำสำคัญ : ESR แคลไซต์ธรรมชาติ อิเล็กตรอนอิสระ การฉายรังสีแกมมา
ที่ผมอ่านบทคัดย่อ...งานวิจัยนี้ใช้เป็นข้อมุลพื้นฐานสำหรับงานวิจัยด้านธรณีวิทยา... หาอายุแคลไซต์ด้วยการเพิ่มปริมาณรังสีได้.... คือค้นหา ปูนขาว แหล่งปูนขาว อายุของปูนขาว ทางธรณีวิทยา ไม่ใช่ “หาอายุในพระสมเด็จฯ”.....
✸ผู้สร้าง “มุข” พยายามยัดเยียด ความรู้ผิดๆ เพื่อหวังผลอะไรอยู่หรือเปล่า?....บิดเบือนประเด็นการนำพิสูจน์...”แหล่งแร่”...ให้เป็นการค้นหาพระแท้ฯ....หรือไม่?....หรือเพื่ออะไร?....ให้ข้อมูลเพื่อเป็น “ประโยชน์”...หรือ...เพื่อ “ผลประโยชน์”....ใดก็แล้วแต่....ข้อมูลสร้าง “ปัญญา” หรือ “ปัญหา”...ผมว่าเพื่อนๆ ที่ได้มองเห็น “ความจริง”....ก็ย่อมจะรู้ “ความจริง”.....ไปด้วยนั่นเอง
ผมมักจะบอกเน้นเสมอๆ ว่าให้ทุกคน “เคารพความจริง เคารพข้อมูลแห่งความเป็นจริง เคารพเหตุผลแห่งความเป็นจริง และเมื่อจะเลือกเชื่อก็เลือกที่จะเชื่อ...”ข้อมูลความจริงเป็นหลัก”....หาได้เชื่อผู้หนึ่งผู้ใด..หรือยึดคำตอบในผู้หนึ่งผู้ใดไม่? (กรณีนี้ก็เช่นเดียวกันเป็นตัวอย่าง)
การตรวจสอบ...ทำให้เกิดการเรียนรู้ได้
การเรียนรู้...ทำให้เรารู้ได้
เมื่อเราเรียนรู้ได้....เราก็เกิดปัญญาได้
เมื่อเราเกิดปัญญา...เราก็รู้เท่าทัน “ปัญหา” ได้
เมื่อเรารู้จัก “ปัญหา” ....เราก็จะใช้ปัญญาแก้ปัญหานั้นได้
เมื่อเรามีความรู้คู่ปัญญาอย่างถูกต้อง....
เราก็ยึดความถูกต้องเราก็ยึดความจริงเป็นหลักได้
เราก็เชื่อความรู้เราได้บนปัญญาของเราเอง
สังคมสงบสุข...เคารพความรู้ที่ถูกต้องซึ่งกันและกันได้ไม่ทะเลาะกัน
เรื่องราว เล่ห์เหลี่ยม ในวงการนี้มีเกิดใหม่ขึ้นทุกวัน
การที่จะเอาต้วรอดปลอดภัยไม่เป็นแมงเม่า
ก็อยู่ที่เรา...หมั่นเรียนรู้ ศึกษาให้เท่าทัน...ด้วยปัญญา...ตามปัญญาตนนั่นเอง
ขอปัญญาจงสถิตย์กับเพื่อนๆ ครับ
ขอขอบคุณ ข้อความ ที่มา :คุณสมชาย น้อยสาคร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น